Tuesday, 21 March 2023

ทำอย่างไรดี เมื่อ “กัญชาเสรี” บุกโรงเรียน

วันที่ 9 มิถุนายน 2565 ถือเป็นวัน “ปลดล็อกกัญชา” ของเมืองไทย “กัญชาเสรี” หลังจาก กระทรวงสาธารณสุข ประกาศว่า กัญชาไม่ใช่ “ยาเสพติด” ทั้งยังยกเลิกความผิดพลาดฐานผลิต นำเข้า ส่งออก มีไว้ในครอบครองเพื่อเสพหรือขาย รวมถึงการเสพหรือการสูบ ซึ่งสร้างความหนักใจให้กับหลายฝ่าย เนื่องจากว่าไม่มีการเตรียมมาตรการทางกฎหมาย เพื่อจัดการกับผลลัพธ์ที่จะตามมา

หลังจากประกาศปลดล็อกกัญชา ก็มีข่าวการใช้กัญชาที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายผู้ใช้อย่างมากมาย ทำให้ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ ประกาศให้โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพฯ เป็น “เขตปลอดกัญชง – กัญชา” ในวันที่ 15 มิถุนายน 2565 เหมือนกันกับตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ประกาศว่าโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการจะต้องเป็น “โรงเรียนปลอดกัญชา”

ความพยายามในการขัดขวางกัญชาในโรงเรียนที่สวนทางกับ “เสรีกัญชา” นอกรั้วโรงเรียน ทำให้การสั่งห้าม เป็นเรื่องยาก และเป็นความไม่สบายใจที่ “อาจารย์” ต้องหาทางจัดการกับกัญชา ที่ไหลล้นเข้ามาในโรงเรียน

ด้วยเหตุนี้ ก็เลยทำให้อาจารย์คนจำนวนไม่น้อยจับกลุ่ม “คุยสถานการณ์กัญชาเสรีในโรงเรียน” เมื่อวันที่ 7 เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อสะท้อนปัญหาเรื่องกัญชาในโรงเรียน ที่บางทีอาจจะกลายเป็นปัญหาแพร่กระจายใหญ่โต ถ้าเกิดว่าไม่มีมาตรการจัดการที่ชัดเจน

กัญชาเสรีในโรงเรียน

เหตุการณ์ กัญชาเสรี ในโรงเรียน

คุณครูหลายๆคนเริ่มสะท้อนว่า ก่อนการปลดล็อก ตามประกาศกฎหมาย กัญชาเสรี ก็เผชิญกับปัญหา เด็กนักเรียนแอบใช้กัญชาอยู่บ้าง รวมไปถึงสารเสพติดอื่นๆ ซึ่งโดยมากจะมีต้นเหตุมาจากเด็กนักเรียนอยากรู้อยากลอง โดยเด็กนักเรียนที่ใช้กัญชาจะมีลักษณะง่วงนอน หลับในห้องเรียน และไม่พร้อมที่จะทำความเข้าใจ ขณะที่ครูมักจะใช้ วิธีการว่ากล่าว ซึ่งทำให้เด็กนักเรียนไม่อยากมาเรียน เพราะเหตุว่ารู้สึกขายหน้า และหวาดกลัว

จากการสังเกตของอาจารย์หลายๆคน ตั้งแต่ช่วงเปิดเทอมหลังการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ใช้เวลากว่า 2 ปี พบว่าพฤติกรรมลักขโมยของ และใช้กัญชาในนักเรียนมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งได้รับแจ้งข้อมูลว่า มีเด็กเข้าไปเกี่ยวข้องกับ กัญชา ในทุกระดับชั้น และชั้นที่อายุน้อยที่สุดได้รับแจ้งคือนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1

ถึงแม้ว่าคุณครูต้องต่อกรกับปัญหา กัญชา และพยายามหาทางขจัดปัญหาการใช้กัญชา ของเด็กนักเรียน แต่อาจารย์ที่ร่วมวงพูดคุย ก็สะท้อนว่า การเป็นอาจารย์เหมือนอยู่ที่เปลือกของปัญหา เหตุเพราะการเข้าถึงรากของปัญหา จำเป็นต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่สำหรับโรงเรียนที่หากแม้จะถูกกล่าวว่า เป็นสถานที่ที่ราชการ และไม่อนุญาตให้นำกัญชาเข้ามา แต่เมื่อเด็กนักเรียนก้าวเท้าออกมาจากโรงเรียน ก็สามารถพบเจอการซื้อขายกัญชาได้ง่ายๆ จึงทำให้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการใช้กัญชา ในโรงเรียนเป็นปัญหาที่ไม่สามารถที่จะสามารถควบคุมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

ปัญหาที่อาจารย์เผชิญ

ปัญหาข้อหนึ่งที่คุณครูสะท้อน คือการเข้าถึงสื่อที่ง่ายเกินไป โดยยิ่งไปกว่านั้น TikTok ที่เด็กนักเรียนสามารถเข้าถึงข้อมูลเรื่องกัญชาได้ง่ายแค่ปลายนิ้ว ทว่าข้อมูลที่ปรากฏกลับกลายข้อมูลด้านเดียวที่บอกว่า การใช้กัญชาจะทำให้อารมณ์ดี ช่วงเวลาเดียวกันอาจารย์เองก็ขาดความเข้าใจเรื่องกัญชา หรือเรื่องหลักพิษวิทยาของกัญชา ทำให้คุณครูไม่มีความพร้อมสำหรับเพื่อการสอน หรือรับมือกับเด็กที่ใช้สารเสพติด

ในทางกลับกัน คุณครูบางส่วนที่ตระหนักถึงจุดสำคัญของการสอนเรื่องจุดเด่น-จุดด้วยของกัญชา และพยายามเชิญเด็กนักเรียนเสวนาแลกแปลง เรื่องกัญชาในคาบเรียน กลับไม่ได้รับการผลักดันหรือไม่มีอาจารย์ท่านอื่นร่วมด้วย เนื่องด้วยฝ่ายกิจการนักเรียนคิดว่าการสอนเรื่องกัญชาเป็นเรื่องขบขัน และไม่ใส่ใจที่จะให้ความรู้

เหมือนกัน แม้นักเรียนจะสนใจหัวข้อนี้อย่างยิ่ง แต่ก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงความรู้เรื่องกัญชาได้ เพราะขัดกับหลักโรงเรียนคุณธรรม

ครูคนไม่ใช่น้อยชี้ว่า อุปสรรคที่มีความสำคัญที่สุดของเหตุการณ์กัญชาในโรงเรียน เป็นแนวทางของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ไม่สอดคล้องกับทิศทางของสังคม และนโยบายกัญชาเสรีของภาครัฐ นำมาซึ่งการทำให้อาจารย์ปฏิบัติงานทุกข์ยากลำบาก ครูเสมือนตกอยู่ในเหตุการณ์ออกรบแต่ไร้อาวุธ ตั้งแต่ไม่มีสื่อการสอนเรื่องกัญชาที่เป็นกลาง ที่บ่งชี้ทั้งด้านดี และด้านเสียของการใช้กัญชา ไปจนถึงแนวทางการรับมือกับเด็กที่ใช้กัญชาอย่างถูกต้อง และไม่ตัดทอนความเป็นคนของนักเรียน

นอกจากนี้ ภาระหน้าที่งานอื่นๆเป็นจำนวนมากที่นอกเหนือจากการสอน ก็เป็นอีกต้นเหตุที่ทำให้ครูหลายท่านเลือกที่จะเพิกเฉยต่อเด็กที่มีปัญหา ถึงแม้อาจารย์รุ่นใหม่จะพยายามเข้าไปเปลี่ยนแปลง แต่แรงกระแทกจากคำสั่งกระทรวงฯ ผู้อำนวยการ เพื่อนครู หรือผู้ปกครอง ก็นำมาซึ่งการทำให้คุณครูผู้คนจำนวนมากยอมไปในที่สุด

กัญชาเสรี

ทางออกสำหรับทุกคน

อาจารย์ที่ร่วมกลุ่มเสวนาสะท้อนว่า ทางออกของหัวข้อกัญชาเสรีในโรงเรียนเป็น สร้างการทำความเข้าใจที่เปิดกว้าง ให้ผู้เรียนได้ตั้งข้อซักถามกับการใช้กัญชา สร้างโอกาสให้เด็กนักเรียนได้เรียนรู้ และเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง รวมถึงเปิดโอกาสให้ เกิดการติดต่อระหว่างนักเรียน คุณครู และผู้บริหาร เหมือนกับการผลิตสื่อการสอนที่เป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เอ่ยถึงจุดเด่น – ข้อผิดพลาดของการใช้กัญชาอย่างตรงไปตรงมา และสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ง่าย

ทั้งนี้ การสร้างวัฒนธรรมหน่วยงานที่ “รับฟังนักเรียน” จะเป็นทางออกที่มีคุณภาพมากที่สุดในระยะยาว โดยครูที่ร่วมวงเสวนามีความเห็นว่า โรงเรียนไม่มีระบบที่เข้ามารองรับและช่วยเหลือ นักเรียนที่ใช้สารเสพติด เหมือนกันกับการสื่อสารกับเด็กนักเรียนกลุ่มนี้ก็เป็นไปได้ยาก เนื่องมาจากครูกับเด็กนักเรียนใช้คนละภาษา

นอกเหนือจากนั้น ค่านิยมของโรงเรียนก็วินิจฉัยว่านักเรียนที่ใช้สารเสพติดเป็นคนไม่ดี ครูก็เพ่งเล็งว่านักเรียนคนนั้นๆเป็นเด็กเกเร เพื่อนร่วมชั้นก็ไม่รับ ซึ่งทั้งหมดล้วนส่งผลให้การเห็นค่าในตนเอง และเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น ของนักเรียนคนนั้นเกิดได้ยากขึ้นกว่าเดิม

ด้วยเหตุผลดังกล่าว การทำงานกับความศรัทธาของอาจารย์และเพื่อนร่วมชั้น ก็เลยเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เพื่อทำให้นักเรียนมีคนที่สามารถวางใจและสนทนาได้ ซึ่งจะมีผลให้นักเรียนรู้สึกไม่มีอันตราย เกิดความเชื่อใจและไว้ใจ ทำให้เกิดความรู้สึกมั่นใจ และสะท้อนการเห็นคุณประโยชน์ในตนเอง ที่เยอะขึ้นเรื่อยๆ

สุดท้ายคือความรับผิดชอบของภาครัฐ ที่ควรมีแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อช่วยเหลือคุณครูในโรงเรียนที่กำลังรับมือกับปัญหาด้านการใช้กัญชาของนักเรียน รวมถึงแนวทางที่จะช่วยอุดรอยรั่วของนโยบายกัญชาเสรี เพื่อปกป้องรักษาเด็กนักเรียนจากการใช้กัญชาโดยไม่ตระหนักถึงข้อตำหนิของมัน เหมือนกันกับป้องกันไม่ให้เกิดคือปัญหาที่จะถาโถมเข้าใส่ครู กระทั่งอาจารย์รู้สึกหมดพลังกับการแก้ไขปัญหารายวัน และตัดทอนเชื่อถือของคุณครูที่ตั้งอกตั้งใจมาให้ความรู้กับผู้เรียน